เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๖ เม.ย. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เมื่อวานมีพวกเขามาถามปัญหา เขาบอกว่า “เขาเกิดมานี่ เขาเกิดมาแล้วไม่สมความปรารถนา” คือว่าเขาเกิดมาแล้วไม่สม คือว่าเขาเป็นกระเทยไง เขาไม่ได้สมความปรารถนาของเขาว่า แล้วมันทุกข์ยากนะ เป็นเพราะอะไร? ว่าผิดศีลผิดธรรมไหม? ทั่วไปเขาว่าผิดศีลผิดธรรม

เราบอกว่า “ผิดศีลผิดธรรมก็มีส่วนนะ ศีลข้อที่ ๓ นี่ กาเม สุมิจฺฉาจาร มันทำลายน้ำใจกัน” ทำลายน้ำใจนะ ถ้าลูกไปมีความผิดพลาดไป พ่อแม่จะเสียใจมาก คำว่า “เสียใจ” มันทำร้ายน้ำใจอย่างนั้น มันมีกรรมมาก

แต่! แต่มันก็ไม่ให้ผลเท่ากับแรงปรารถนาของแต่ละบุคคล แรงปรารถนาของแต่ละบุคคลต้องการเกิดเป็นอะไร อันนั้นต่างหากที่มันจะเกิดเป็นอันนั้น แรงปรารถนาตัวนั้นนะ ตัวความปรารถนา ดูอย่างหลวงปู่มั่นสิ หลวงปู่มั่นปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็สร้างสมพุทธภูมิมาตลอด แต่สุดท้ายแล้วมากลับ นี่แรงปรารถนาอยากเป็นอะไรแล้วมันตั้งใจเจตนาแล้วทำไป

อันนี้ก็เหมือนกัน แรงปรารถนาของเรา เราพอใจสิ่งนั้น แรงปรารถนาของเราเป็นไป ถ้าพูดถึงถ้าผิดศีลผิดธรรมแล้วเป็นกระเทยหมดนะ เป็นทั่วประเทศไทยเลยเนาะ เพราะหาที่ว่าไม่ผิดศีลผิดธรรมมันจะหาน้อยมากเลย

ผิดศีลผิดธรรมมันก็เป็นสภาวะแบบนั้น แต่มันเป็นไป มันให้กรรมเหมือนกัน แต่ไม่ถึงกับทำให้ว่าเป็นแบบนั้น เพราะการกระทำ กรรมนี่มันมีกรรมดีกรรมชั่ว ทำดีก็มี ทำชั่วก็มี ทำดีผลดีมันก็ให้ผลคุณงามความดี การผิดศีลผิดธรรมมันก็มีอยู่ถ้าพูดถึงอย่างนั้น แต่เขาก็ทำคุณงามความดีอย่างอื่นของเขาก็มี คุณงามความดีอย่างอื่นไม่สามารถรองรับได้เหรอ

ดูอย่างในพระไตรปิฎกสิว่า คนฟังอย่างนี้แล้วมันจะภูมิใจนะ ว่าชาวพุทธพูดถึงทำความผิดแล้วไม่ค่อยตกนรกเพราะอะไร? เพราะว่ามันมีเรือรองรับไง เขาบอกว่ามันเหมือนกับเรือรองรับ ถ้าพูดลัทธิศาสนาต่างๆ เขาไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เขาไม่มีเรือไง เวลาหินจมน้ำ มันจมน้ำไปเลย แต่เวลาหินของเรามันจะจมน้ำไป มันมีเรือรองรับ เรือรองรับเพราะอะไร?

เพราะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่แก้วสารพัดนึก เพราะเราสร้างคุณงามความดี สิ่งเป็นคุณงามความดีบ้างมันรองรับสิ่งนั้นไว้บ้าง แต่มันก็ให้ผลถ้ามันทำมากเกินไปมันก็ไม่ได้ มันก็ให้ผลของมันไป

ศาสนาพุทธมันมีเหตุมีผลอย่างนี้ไง เหตุผล เห็นไหม ในศาสนาต่างๆ ไม่มีพระสงฆ์ พระสงฆ์นี่เนื้อนาบุญของโลก ถ้ามีพระสงฆ์ ได้การทำบุญกุศลขึ้นมา เราจะเป็นบุญกุศลขึ้นมา นี่บุญกุศล นี่เรือรองรับ จะมีเรือรองรับ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเวลาฟังธรรม เห็นไหม เวลาฟังธรรม ธรรมมันจะเข้าไปแก้ไขแรงปรารถนานั้นไง

แต่แรงปรารถนาในเกิดเพศตรงข้าม มันเป็นแรงปรารถนาอันนั้น แต่เวลาเกิดแล้วมันทุกข์ มันไม่สมความปรารถนา อยากจะพ้นจากทุกข์ไม่ให้เป็นไป มันก็ต้องมาแก้ตรงนี้ แก้ตรงแรงปรารถนา แต่มันระยะกึ่งไง กึ่งที่มันเป็นไป ใจมันเป็นไปก่อน ใจมันปรารถนาแล้วอยากเป็นไป

แต่เวลาเกิดขึ้นมาเป็นภพเป็นชาติ ดูอย่างพระอานนท์ เห็นไหม พระอานนท์นี่เป็นผู้หญิงมาก่อน แต่ปรารถนาเป็นผู้ชาย ๕๐๐ ชาติถึงจะเป็นผู้ชาย ในระหว่าง ๕๐๐ ชาตินี่เราต้องเปลี่ยนแปรสภาพไป มันเปลี่ยนแปรสภาพไปเรื่อย จิตใจมันไปก่อน แรงปรารถนามันพุ่งไปก่อน แต่ร่างกายมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วผู้หญิงก็อยากเป็นผู้ชาย ผู้ชายก็อยากเป็นผู้หญิง มันมีแรงปรารถนาอย่างนั้น

เราถึงบอก “มันอยู่ที่แรงปรารถนา เจตนาสำคัญมาก” เราเจตนาทำคุณงามความดี เราจะมีคุณงามความดี เราสร้างสมคุณงามความดีนะ มีความปรารถนา มีเจตนาแล้วทำไปได้ ถ้าไม่มีแรงปรารถนา เห็นไหม ไม่มีบารมี ๑๐ ทัศ อธิษฐานบารมี ตั้งเป้าหมายแล้วให้ถึงเป้าหมาย ยิ่งเป้าหมายของเรามันเป้าหมายแค่นี้เอง เป้าหมายแค่เปลี่ยนเพศ แต่มันก็เป็นไปแรงปรารถนาขับเคลื่อนไป

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งเป้าหมายให้เราพ้นจากทุกข์ เห็นไหม ในศาสนามันสอนมากมายขนาดนั้น มากมายคือว่าให้เห็นผลของทุกข์ไง ให้เห็นผลของทุกข์แล้วพยายามกำจัดทุกข์ของเราให้ได้ ถ้ากำจัดทุกข์ของเราได้ มันจะมีความสุขในตัวของเราเอง ในตัวของเราจะมีความสุขมาก

ความสุขที่เราแสวงหากัน เห็นไหม เวลาหยุดพักหยุดนะ หยุดราชการหลายวัน ไปพักผ่อนไปเที่ยวไปอะไรกันนี่ ไปเที่ยวไปเพื่อจะให้สมความปรารถนา สมความปรารถนามันกระเพื่อมไป มันเป็นเรื่องอาการของเงา คนหาความสุขอย่างนั้นก็จะได้ความสุขอย่างนั้น

ความสุขคือว่ามันความสุขอมทุกข์ไง ทั้งเสียเงินเสียทอง ทั้งเสียเวล่ำเวลา ทั้งเสียทุกอย่างนะ แต่ทำบุญกุศลนั้นมันเป็นอีกส่วนหนึ่ง ถ้าว่าทำเป็นกตัญญูกตเวทีนั้นเป็นอีกส่วนหนึ่ง ในสงกรานต์นั้นบุญกุศล

แต่เวลาขับเคลื่อนไป บุญกุศลมันก็มี ประเพณีวัฒนธรรมสอนคนให้เข้าถึงหลักของธรรม หลักของธรรมนี่เกิด เห็นไหม มีธรรมะขึ้นมาก่อนถึงมีประเพณีวัฒนธรรมเพื่อเป็นทางเข้าหาธรรมอันนั้น ถ้าเราเข้าหาธรรมอันนั้น ถ้าพูดถึงความสุขอันอย่างยิ่ง ใครจะมีความสุขเท่ากับพระอรหันต์ แล้วพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ เห็นไหม นี่สโมสรสันนิบาต

สโมสรสันนิบาตของเราก็มีแต่ความครึกครื้นรื่นเริง สโมสรสันนิบาตของท่านมีแต่นั่งสงบอยู่เพราะอะไร? เพราะใจมันสงบ ใจมันนิ่ง ใจมันมีความสุขในหัวใจอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังประทานโอวาทปาติโมกข์ เห็นไหม ไม่ทำความผิดพลาดต่างๆ ทำแต่คุณงามความดี แล้วทำจิตใจให้ผ่องใส ให้ผ่องใสนะ มีแต่ทำดีให้ใจขึ้นมา เพราะใจมันเป็นตัวทุกข์ตัวสุข

อันนี้ก็เหมือนกัน ตัวใจตัวแรงปรารถนา ตัวพาเกิดก่อน มันขับเคลื่อนไปก่อน พอมันขับเคลื่อนไปก่อน มันไปก่อน มันเป็นปรารถนาไป มันเป็นจริตนิสัยเป็นความคิด ถึงว่าใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ใจนี่เป็นนายแล้วกายนี่เป็นบ่าว จนถึงที่สุดไป แล้วมันถึงที่สุดไปแล้ว ถ้าไปถึงจุดตรงนั้นแล้วมันไม่พอใจ มันก็ปรารถนากลับมาอีก มันก็เวียนไปเวียนมา

โลกนี้มันหมุนเวียน วัฏวนมันเวียนไปตามสภาพของมันอยู่ตามสภาพแบบนั้น แล้วก็เวียนไปเป็นอนิจจัง สรรพสิ่งเป็นแบบนี้ นี่คือสภาวะสัจธรรม สัจธรรมความจริงมันเป็นแบบนั้น แล้วเราก็มีความทุกข์ความสุขอยู่ในสภาวะแบบนั้นเพราะเคลื่อนไป เพราะเรามีจิต

เรามีจิต เห็นไหม จิตขึ้นมา ตัวใจตัวพาเกิด ตัวพาเกิดมันตัวขับเคลื่อนไปในสภาวะของโลกเขา เวียนไปตามสภาวะโลกของเขา แล้วเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วก็หลง ไม่รู้เรื่องเลยนะ เป็นเพราะแบบนั้นใช่ไหม? เป็นเพราะเรา เป็นเพราะๆๆ เพราะอะไร?

เป็นเพราะว่าเราศึกษาข้างนอก เราไม่ศึกษาเรื่องหัวใจของเรา ถ้าเราศึกษาเรื่องหัวใจของเรา จะไม่เป็นเพราะสิ่งนั้นๆ เลย เป็นเพราะใจของเรา เป็นเพราะแรงขับเคลื่อนของเรา เป็นเพราะว่าเราตื่นเงา ตื่นความคิดของเรา เห็นไหม คิดดี-คิดชั่ว ถ้าคิดดี เห็นไหม ทำคุณงามความดี คิดชั่วมันคิดว่าดี คิดชั่วนะ แต่มันไม่เข้าใจว่าดี ถึงต้องมีศีล

มีทาน มีศีล มีภาวนา ทานอันนี้เพื่อจะมาวัดความเห็นของตัว เราคิดถูกต้องไหม? เราทำนี่ถูกต้องไหม? ผิดศีลไหม? ถ้าผิดศีลนะมันผิดหมดเลย นี่ถ้ามีศีล เพราะศีลมันทำให้เป็นไป แล้วแรงปรารถนาก็ขับเคลื่อนไปกับศีลนั้น ถ้ามันถูกธรรมถูกความถูกต้อง แรงปรารถนามันต้องมีขึ้นมา มันต้องมีคันเร่ง

มันถึงมีความเพียรไง เวลาเราเดินจงกรมภาวนากัน คนจะแปลกนะ คนเดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน คนว่าเดินได้อย่างไร เราทำความเพียร เราทำอย่างนั้นได้ไหม? เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน ๗ วัน ๗ คืนเดินได้อยู่อย่างนั้นเพราะอะไร? เพราะมันมีงานทำ

สิ่งที่มีงานทำคือใจมันใคร่ครวญ มันพลิกแพลง มันเปลี่ยนแปลง มันจับอาการของใจขึ้นมา ความคิดนี่ มันจับความคิดแล้วแยกความคิดออกไป มันเป็นชั้นเป็นตอน เห็นไหม ความคิดนี้เกิดมาได้เพราะเหตุใด? เห็นเหตุเกิด

เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์เลย มันสาวขึ้นไป มันจะสนุกมากนะ อ้อ...เหตุเกิดๆ เพราะแบบนั้น เกิดเพราะว่ามันมีเชื้อไข เชื้อมันคือกิเลสตัณหา กิเลสตัณหามันย้อนกลับเข้าไป กิเลสตัณหาคือความไม่เข้าใจ คืออวิชชา อวิชชาคือความหลง รู้แล้วพลาดไปเลย พอรู้แล้วก็ยึดเลย พอยึดเลยมันก็หลงแล้ว หลงออกมาเป็นขันธ์ ขันธ์มันเป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นความปรุงความแต่ง

นี่มันก็แยกเข้าแยกกลับ ย้อนกลับๆ พอย้อนกลับ นั่นน่ะมันถึงเดินจงกรมได้ทั้งวันทั้งคืนไง มันถึงภาวนาได้ตลอดวันตลอดคืนเพราะอะไร? เพราะปัญญามันใคร่ครวญ มันแยกมันออก มันมีงานทำ งานมหาศาล งานอันนี้มันงานเกิดจากการภาวนามยปัญญา ถ้าเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา งานมันจะเกิดขึ้นมา มันจะเห็นสภาวะงานของมัน แล้วงานมันจะถูกต้องไปๆ มันจะตัดทุกอย่างเลย

เวลาเห็นใจ เห็นไหม เห็นใจเห็นความคิดของตัว เห็นแรงปรารถนาของตัว ถ้าปรารถนาถูกต้อง เป้าหมายของเราปรารถนาเพื่อจะพ้นจากทุกข์ เห็นไหม เราก็ก้าวเดินไปพ้นจากทุกข์ อันนี้มันปรารถนาแค่เพศ ปรารถนาแค่ส่วนนอก แล้วมันก็เป็นไปตามอำนาจของวาสนา นี่ใจมันมหัศจรรย์ขนาดนั้น

มหัศจรรย์ถึงว่าขับเคลื่อนแปรสภาพว่าเปลี่ยนเพศเปลี่ยนแปลงได้ แต่เปลี่ยนแปลงไปในวัฏฏะ แต่เราก็ทุกข์ไปในวัฏฏะ ต้องเปลี่ยนไปแต่ละภพแต่ละชาติไป ๕๐๐ ชาติจะสมความปรารถนาจากหญิงและชายเปลี่ยนไป เพราะในพระไตรปิฎกว่าไว้แล้ว พระอานนท์เป็นผู้หญิงมาก่อน ปรารถนาเปลี่ยนเป็นผู้ชายนี่ ๕๐๐ ชาติ อย่างนี้ทุกข์ไป ๕๐๐ ชาติกว่าจะเปลี่ยนไปสมความปรารถนา เปลี่ยนความสมปรารถนาในความปรารถนาของตัว แต่ไม่สมความสุขของตัวเพราะอะไร?

เพราะเพศหญิงเพศชายมันก็มีทุกข์เหมือนกัน เวลาถึงที่สุดแล้ว เห็นไหม พระอรหันต์ไม่มีหญิงไม่มีชาย เห็นไหม สมาธิไม่มีหญิงไม่มีชาย จิตของผู้หญิงเป็นสมาธิก็เป็นสมาธิ จิตของผู้ชายเป็นสมาธิก็เป็นสมาธิ พ้นจากทุกข์แล้วเป็นพระอรหันต์เหมือนกันก็ไม่มีหญิงไม่มีชาย เพราะไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา

ถ้าเป็นสัตว์ เป็นตัวตน เป็นบุคคล เป็นเราเป็นเขานี้เป็นเพราะอาการของใจ เป็นเพราะความคิด แล้วตื่นเงา นี่แรงปรารถนาจากเงา ถ้าแรงปรารถนาจากสัจธรรมขึ้นมา มันจะย้อนกลับเข้ามาจากภายใน ย้อนกลับเข้าไปแล้วจับสิ่งนั้นย้อนกลับๆ เข้าไป

นั้นเป็นภาวนาทวนกระแส ทวนกระแสของโลก นี่ทวนกระแสเข้าไป ถึงที่สุดแล้วแรงปรารถนาเกิดจากความดำริของใจ เกิดจากความดำริ เกิดจากความคิด แล้วไปแก้ไขความคิดอันนั้นจบสิ้นกระบวนการแล้วมีความสุข

อยู่ที่ไหน? อยู่ที่ในหัวใจของเรานี่แหละ อยู่ที่เราทุกข์ยากนี่แหละ แต่ทำๆ ยากมากนะ เวลาดัดแปลงตน เวลาบังคับตนนี่บังคับแสนยากเลย อยากแล้วไม่ให้มันกินนี่ก็แสนยาก แต่ถ้าอยากไม่ให้มันกิน อยากแล้วไม่ให้มันสมความปรารถนา ไม่ให้มันเสพตามประสามัน มันจะดัดแปลงตน

นี่คือการชนะกิเลสชนะแบบนั้นไง ถ้าอยากแล้วปรารถนามันไป เว้นไว้แต่ เห็นไหม อยากที่เป็นผล อยากในมรรคนี่ อยากสร้างเหตุ อยากภาวนา อยากพ้นทุกข์ ความอยากอันนี้เป็นมรรค สิ่งที่อยากแล้วมันให้ผลเป็นทุกข์นั้น อยากไม่สมความปรารถนา

แต่อยากในการพ้นจากทุกข์มันก็ให้เป็นทุกข์ มันก็ทุกข์เหมือนกันเพราะวิปัสสนานี่มันต้องทุกข์ ทำความทุกข์ ทุกข์เพื่อจะผ่อนคลาย เพื่อจะชำระสิ่งนี้ อันนั้นเป็นผลไง ผลที่ว่าผลที่มันจะชำระใจของเรา เป็นปัจจัตตังนะ รู้จำเพาะใจของเรา

ถ้าใจของเราวิปัสสนา เราทำคุณงามความดี ความเพียรนี่ แล้วมันปล่อยวาง มันสบายใจขึ้นมา มันถูกต้องขึ้นมา มันจะเบา มันจะเป็นไปข้างหน้า ถ้ามันไม่ถูกต้องขึ้นมา มันจะไม่เบาแล้วมันจะไม่เป็นไป

สิ่งที่ไม่เป็นไปไม่สมความปรารถนา อันนั้นเป็นสิ่งที่ว่าเป็นความปรารถนาในโลก ความปรารถนาของโลกเขา โลกเขาเป็นอย่างนั้น ถ้าความปรารถนาของมรรคมันจะเข้ามาหลักความจริง แล้วจะถึงที่สุดได้ เอวัง